จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

วิธีลดหน้าท้อง !

ท่าบริหารลดหน้าท้อง

Routine ท่าบริหารลดหน้าท้องที่เอามาโพสวันนี้ แม้จะไม่ใช่คาถาพิเศษที่เห็นผลในหนึ่งวัน อาจจะเจ็บและท้อ แต่ด้วยความพยายาม มันจะต้องเห็นผลค่ะ
  • สำหรับทุกคนที่อยากจะลดหน้าท้อง/สุขภาพแข็งแรงขึ้น และมีความตั้งใจ พร้อมที่จะทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
  • สาวๆที่รักในหน้าตาและหุ่นของตัวเองอยู่แล้ว เริ่ดค่ะ ขอชมจากใจ ฮาวทูนี้ก็ดูเล่นขำๆแล้วกันเนอะ 
  • นี่เป็นroutineของพลอย ที่ปรับลงมาเพื่อทุกคนที่เริิ่มต้น อาจจะมีผิดบ้าง ทำท่าไม่ถูกอะไรยังไง บอกพลอยได้นะคะ
BIKINIbody: MISSION BEGIN
  • ก่อนเริ่มออกกำลังกาย ยืดเส้นก่อนนะคะ ยิ่งนานยิ่งดี พลอยทำ 10-15นาทีค่ะ นานกว่านี้ก็ดีเป็นการเตรียมกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกายที่ดี ป้องกันอาการบาดเจ็บต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้
  • วอร์มอัพ แอโรบิค 20นาทีค่ะ ณ ที่นี้ พลอยวิ่งเหยาะๆต่อเนื่องจนครบเวลา
THE CORE ROUTINE
ชี้แจง : 3x20 reps แปลว่า ทำซ้ำกัน 3เซ็ท เซ็ทละ20ครั้ง ,, ถ้า 3x1min คือ 3เซ็ท เซ็ทละ1นาทีนะคะ

มาต่อกันที่ท่าบริหารหน้าท้องกันค่ะ

1. บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านข้าง 3x20 reps

นำมือมาประกบกันเหนือหัว แขนเหยียดตรง เหมือนจรวด (ฮ่าาๆ) แล้ว*ค่อยๆ*เอนซ้าย-ขวา สลับกัน
2.ซิทอัพ (Crunch) 3x50 reps

เริ่มด้วยการนอนราบ ขาเหยียดตรง90องศา แล้วทำซิทอัพ ขึ้้นช้าๆ พอขึ้นมาแล้วค้างไว้ 1วิแล้วลงช้าๆค่ะ
3. PLANK & SIDE PLANK 3x1min each

ท่าลดหน้าท้องนี้ชื่อคุ้นๆ หรือเปล่าเอ่ย ฮ่าๆๆ ทำแพลงค์โดยให้ตัวเป็นเส้นตรง ค้างไว้ 1 นาทีทั้งด้านหน้าและด้านข้างค่ะ อย่างอหลังนะคะ เดี๋ยวจะปวดเอา แล้วก็อย่าทำหลังโก่งๆ ด้วย เพราะมันจะไม่ช่วยมากนะคะ
4.ยกขาคู่ ขึ้นลง บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านล่าง 3x20 reps 

รู้สึกท่านี้จะเรียกว่า HIP LIFT นะคะ ดังรูปเลยค่ะ ค่อยๆยกขึ้น-ลงช้าๆ พอลงแล้วขาไม่ต้องแตะพื้น แต่ค้างไว้5วินาที แล้วยกขึ้นช้าๆ ทำซ้ำ
5. Squat 3x1min / 3x20 reps

ท่าลดหน้าท้องแบบนั่งชักโครก อายเหลือเกินนนนน !! ทำเหมือนมีเก้าอี้ล่องหนอยู่แล้วค่อยๆนั่งลงไป แขนยืดตรง หลังตรง (ท่าเริ่มต้นคือยืนตรง เท้าชี้ตรง shoulder width นะคะ) สำหรับท่านที่ไม่อยากลุกๆ นั่งๆ ก็นั่งค้างเลยค่ะเซ็ทละ 1 นาที
6. AIR BIKE 3x20 reps

จักรยานหรรษา คล้ายๆซิทอัพค่ะ แต่ขาเราจะลอยตลอด พอซิทขึ้นมาแล้วเอาศอกซ้ายแตะเข่าขวา ศอกขวา แตะเข่าซ้ายสลับกัน ทำช้าๆ ค่ะ
7. BRIDE 3x1.5min

ลดหน้าท้องด้วยท่านี้ง๊ายง่ายเริ่มจากนอนราบ แล้วยกก้นขึ้นมาค่ะ หลังตรง ค้างไว้ 1 นาทีครึ่ง
การออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าทุกคนแบ่งเวลาและอดทน เพื่อให้ตัวเองมีสุขภาพที่แข็งแรงและรูปร่างที่ดี เห็นสาวพลอยหุ่นเป๊ะแบบนี้แล้ว Admin คงต้องขอตัวนำไปลดหน้าท้องกับเค้าก่อนดีกว่า

4 ท่าบริหารใต้คางจำกัด "เหนียง" !!

 ปัญหาใหญ่ของสาวๆหลายคนเลยทีเดียวสำหรับ เจ้า เหนียง ใต้คอ ส่วนเกินที่ไม่ได้รับเชิญ ต่อให้กินน้อยลงยังไง เจ้าเหนียงเพื่อนซี้ของคุณก็ไม่โบกมือ good bye หายไปไหนซักที ไม่ต้องทำหน้าเครียไปค่ะสาวๆ เพราะวันนี้  นำเรื่องราวดีๆมาฝากคุณผู้หญิงอีกเช่นเคย กับ 4 ท่าง่ายๆ บริหารใต้คางเพื่อกำจัดน้อง เหนียง โดยเฉพาะ! ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเปลี่ยนหน้าอ้วนๆ ให้เป็นหน้าเรียวสวยกระชับทุกองศากันเถอะค่ะ ลุย!!!
1.อ้าปากกว้าง
     หนึ่งในท่าบริหารที่เหมาะที่สุดสำหรับการกำจัดเหนียงคือ การเปิดปากให้กว้างที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ จากนั้นให้แลบลิ้นให้ไกลที่สุด พยายามใช้ลิ้นของคุณแตะคางให้ได้ (ซึ่งจริงๆทำไม่ได้) ค้างไว้ 10 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง คุณจะรู้สึกเลยล่ะค่ะว่าบริเวณช่วงคอและคางได้มีการบริหารกล้ามเนื้อ

2.ห้อยหัวช่วยได้
     ให้คุณนอนบนโซฟาหรือเตียงของคุณโดยที่ห้อยหัวที่ขอบเตียง ยกคางขึ้นหาหน้าอก นับ 1-10 ในใจพร้อมค้างไว้ จากนั้นค่อยๆ หย่อนหัวลงช้าๆกลับไปที่เดิม ทำซ้ำ 10 ครั้ง

3.ยกคาง
     ท่านี้จะช่วยยืดและกระชับกล้ามเนื้อบนใบหน้าและลำคอได้เป็นอย่างดี นอนหงาย จากนั้นยกคางขึ้นฟ้าพร้อมกับทำปากจู๋เหมือนกับกำลังจูบ นับ 1-10 ในใจ ค้างไว้ ทำซ้ำ 10 ครั้ง

4.หมุนคอ
     นอนตัวตรง หันหน้าไปด้านซ้ายจนกระทั่งคางของคุณตรงกับไหล่ ตามองตรง ค่อยๆหมุนคอลงจากด้านซ้ายขึ้นไปตรงไหล่ข้างขวาเช่นกัน ทำซ้ำ 10 ครั้ง


ผลไม้เพื่อสุขภาพ

1. ความหมายของคำว่า “ผลไม้”
           ผลไม้ หมายถึง ผลที่เกิดจากการขยายพันธุ์โดยอาศัยเพศของพืชบางชนิด ซึ่งมนุษย์สามารถรับประทานได้ และส่วนมากจะไม่ทำเป็นอาหารคาว ตัวอย่างผลไม้ เช่น ส้ม แอปเปิ้ล กล้วย มะม่วง ทุเรียน รวมถึง มะเขือเทศ ที่สามารถจัดได้ว่าเป็นทั้งผักและผลไม้
2. ความหมายของคำว่า “สุขภาพ”


ในอดีตคำว่า สุขภาพ หมายถึง สุขภาพกายเป็นหลัก ต่อมาจึงได้กล่าวถึงสุขภาพจิตร่วมไปด้วย เพราะเห็นว่าคนที่มีสุขภาพกายสมบูรณ์แข็งแรง แต่สุขภาพจิตเสื่อมโทรมหรือเป็นโรคจิตก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตเป็นปกติสุขได้ ซ้ำร้ายอาจจะทำร้ายผู้อื่นได้อีกด้วย
ปัจจุบัน คำว่า สุขภาพ มิได้หมายเฉพาะสุขภาพกายและสุขภาพจิตเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงสุขภาพสังคม และสุขภาพศีลธรรมอีกด้วย
สรุปว่าในความหมายของ “สุขภาพ” ในปัจจุบันมีองค์ประกอบ 4 ส่วน ด้วยกันคือ
1. สุขภาพกาย หมายถึง สภาพที่ดีของร่างกาย กล่าวคือ อวัยวะต่างๆอยู่ในสภาพที่ดีมีความแข็งแรงสมบูรณ์ ทำงานได้ตามปกติ และมีความสัมพันธ์กับทุกส่วนเป็นอย่างดี และก่อให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีในการทำงาน
2. สุขภาพจิต หมายถึง สภาพของจิตใจที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ มีจิตใจเบิกบานแจ่มใส มิให้เกิดความคับข้องใจหรือขัดแย้งในจิตใจ สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีความสุข
3. สุขภาพสังคม หมายถึง สภาวะที่ดีของปัญญาที่มีความรู้ทั่ว รู้เท่าทันและความเข้าใจอย่างแยกได้ในเหตุผลแห่งความดีความชั่ว ความมีประโยชน์และความมีโทษ ซึ่งนำไปสู่ความมีจิตอันดีงามและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
4. สุขภาพศีลธรรมหมายถึง บุคคลที่มีสภาวะทางกายและจิตใจที่สุขสมบูรณ์ สามารถปฏิสัมพันธ์และปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้เป็นอย่างดีและมีความสุข
องค์ความรู้ด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตมีสั่งสมไว้มากพอสมควร และเรามีระบบบริการสุขภาพที่ทำงานได้ผลดีทีเดียว แต่เราขาดการศึกษาสุขภาพสังคมและสุขภาพศีลธรรมอย่างเป็นระบบและเชื่อมโยงหากทำได้เราจะจัดการกับสุขภาพสังคมและสุขภาพศีลธรรมได้ดีกว่านี้
ที่จริงทางตะวันออกและโดยเฉพาะในบริบทของวัฒนธรรมไทย ก็มีเนื้อหาความรู้และข้อปฏิบัติไว้มากมาย เพียงแต่ “นักวิชาการสุขภาพ” ยังมิได้จัดเป็นระบบและเชื่อมโดยจริงจัง
ตัวอย่างเช่น ในเรื่องสุขภาพสังคม หากเรานำเอาวิถีชีวิต มารยาท ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมไทย มาพูดจากันอย่างจริงจัง และนำเข้าไปอยู่ในระบบอบรมเลี้ยงดู และระบบการศึกษา รวมทั้งระบบบริการสุขภาพด้วยก็จะเกิดประโยชน์
หรือในเรื่องสุขภาพศีลธรรม เราก็มีศาสนธรรมพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธคริสต์ อิสลาม ฮินดู-พราหมณ์ หรือสิกข์
หรือปรัชญาขงจื้อที่คนไทยเชื้อสายจีนยึดถือเป็นแนวทางชีวิตล้วนแต่มีคุณค่ามหาศาลที่เราควรนำไปสั่งสอนลูกหลานหรือลูกศิษย์และเป็นองค์ประกอบสำคัญของการศึกษาและการสาธารณสุข
ของประเทศ
3. ผลไม้ไฟเบอร์สูง
eat12
4. ผลไม้เพื่อสุขภาพ
     4.1 ) มะนาว สุดยอดตัวช่วยลดน้ำหนัก
lemon
เราเก็บเคล็ดลับดี ๆ จากคอลัมน์ The Lemon Juice Diet ของหนังสือ New Book ที่นักเขียนสาว เธเรซา เชียง ได้ให้คำแนะนำกับปัญหาโรคอ้วน ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการรับประทานมะนาว
          มะนาว ถูกกล่าวขานว่ามีสรรพคุณในการลดความอ้วนได้อย่างดีที่สุด หากคุณทำตามกฎหลักทั้ง 3 ข้อนี้ คุณจะน้ำหนักลดลงได้ดั่งใจปรารถนา
1. ดื่มน้ำ มะนาว กับน้ำอุ่นทุก ๆ เช้า
เพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดียิ่งขึ้น มะนาว เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับช่วยลดไข้ได้ แต่มันยังมีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา แนะนำมาว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น มะนาว ยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน ผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมาก ๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น
2. รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ชนิด
เพราะผักและผลไม้ทุกประเภท จะมีปริมาณแคลอรีที่น้อยมาก แต่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ เส้นใย และสารอาหารที่ครบครัน จะช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างสงบลง
3. ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
โดยการบีบน้ำ มะนาว ลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อ หรือผสมเปลือก มะนาว ลงไปในซุปหรือสลัด และบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลา และเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่า มะนาว คือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุด เพราะ มะนา วจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย
นอกจากนี้ผลการศึกษาของวิทยาลัย Journal of the America College of Nutrition รายงานว่า คาร์โบไฮเดรตที่พบในผิวเปลือกของ มะนาว จะสามารถกำจัดความอยากกินให้ลดลงได้ถึง 4 ชั่วโมง เปลือกมะนาวเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ที่ดีที่สุด ช่วยให้ระบบย่อยอาหารสามารถดูดซึมน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น หลังจากที่คุณกินมัน คุณจะรู้สึกอิ่มไปอีกนานเลยทีเดียว.
4.2 ) เชอร์รี่ผลไม้เพิ่มความสุข
แ้ำพพั
สาวๆ รู้หรือไม่ว่า เชอร์รี่ 
ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานซึ่งอุดมไปด้วย
วิตามินซีที่มีมากกว่าส้มถึง 
30-80 เท่านั้น นอกจาก
จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ชะลอ
ความแก่ และช่วยต้านอนุมูล-
อิสระแล้ว 
เชอร์รี่ ยังมีคุณสมบัติ
ช่วยให้สาวๆ ทั้งหลายอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย
            จากผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าการกินเชอร์รี่มากถึง 20 ผล
จะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้มากกว่าการกินยา เนื่องจากในผลเชอร์รี่มีสารที่ชื่อว่า แอนโธไซยานิน (Anthocyanin) 
ซึ่งเป็นเม็ดสีใน เชอร์รี่ ทำให้ผลไม้ชนิดนี้มีสีสันสดใส และมีสรรพคุณที่สำคัญคือ ทำให้คนกินมีความสุข 
ด้วยเหตุนี้แพทย์ตะวันตกจึงเรียก เชอร์รี่ ว่าเป็น แอสไพรินธรรมชาติถ้าเวลาใดที่สาวๆ รู้สึกเครียดหรือเกิดอาการซึมเศร้าก็ลองเปลี่ยนจากการกินยารักษา มาใช้วิธีธรรมชาติบำบัดด้วยการกินเชอร์รี่นะคะ
4.3 ) กีวี สุดยอดผลไม้ วิตามินซีสูง
154240147-600x399
      ได้ทำการศึกษาและค้นพบว่า วิตามินซีในเซสปรี โกลด์กีวี มีประสิทธิภาพในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่าวิตามินจากอาหารเสริมถึง 5 เท่า และคงอยู่ในร่างกายได้ยาวนานกว่า
……….กีวี สามารถให้วิตามินซีที่มีประสิทธิภาพในการดูดซึมมากกว่าวิตามินซี ที่ได้จากอาหารเสริมถึง 5 เท่า สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย รวมถึงป้องกันร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อสุขภาพที่ดีในแต่ละวันซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผลิตวิตามินซีขึ้นได้เอง จะต้องอาศัยการรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีเข้าไปเท่านั้น
………การรับประทานกีวี เพียงหนึ่งลูกต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณวิตามินซีที่มากกว่าความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน  นอกจากนี้กีวียังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ และมีส่วนช่วยในการเผาผลาญโปรตีน ตลอดไปจนถึงอุดมด้วยวิตามินอี การรับประทานกีวีเป็นประจำทุกวัน  จะทำให้ได้รับคุณค่าทางสารอาหารมากมาย และเป็นการเสริมสร้างสุขภาพที่ดี ต่อสู้กับโรคต่างๆ ตลอดจนอาการติดเชื้อได้
4.4 ) แอปเปิ้ล ผลไม้หลากสี กับประโยชน์ที่หลากหลาย
147642614-450x298
    แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก
แอปเปิ้ล สีแดง
ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย
แอปเปิ้ล สีชมพู
คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
แอปเปิ้ล สีเขียว
มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี
แอปเปิ้ล สีเหลือง
มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Never-Age.com
4.5 ) ผลไม้สีแดง มีสารต้านอนุมูลอิสระ
1000261511-450x300
     ธรรมชาติเสกสร้างสีสันให้ผักผลไม้มีความหลากหลาย ในแต่ละสี ก็ล้วนมีดีที่ต่างกันไป ผักผลไม้ที่มีสีแดง หรือที่ฝรั่งเค้าเรียกกันว่า “Red foods” ก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน
           ผักผลไม้สีแดงมี สารต้านอนุมูลอิสระ ที่เด่นมากอยู่สองตัวคือ ไลโคพีน และ แอนโทไซยานินส์ ไลโคพีนนั้นเด่นในเรื่องการป้องกันมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งยอดฮิตของผู้ชาย และยังมีการศึกษากันมากว่าไลโคพีนช่วยให้ผิวทนแสงยูวีได้ดีขึ้น หรือเรียกง่ายๆว่าเป็นสารกันแดดจากภายในอีกด้วย ส่วน แอนโทไซยานินส์ มีการศึกษากันมากในคุณสมบัติเรื่องการลดคอเลสเตอรอลตัวร้ายในเลือด และช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม อันเป็นโรคที่สัมพันธ์กับอนุมูลอิสระโดยตรง เรามาทำความรู้จักกับผักผลไม้เด็ดๆในกลุ่มสีแดงกันค่ะ
 มะเขือเทศ เป็นขุมพลังไลโคพีน จะนำไปแช่เย็นแล้วทานเล่นแก้เครียด หรือนำไปผัดไฟอ่อนๆกับน้ำมันมะกอกสักเล็กน้อย ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมให้ดีขึ้น
แตงโม ผลไม้หวานชื่นใจอย่างแตงโมก็มีวิตามินซีสูงเช่นกัน และแน่นอนว่ายังมีไลโคพีนจัดเต็มอีกด้วย ในส่วนของความหวานของแตงโมที่รับประทานเข้าไปเป็นน้ำเสียเยอะ เป็นคาร์โบไฮเดรตและถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในเลือดจริงๆแล้วน้อย ค่าไกลซีมิกโหลดจึงไม่สูง สรุปว่า รับประทานได้ ไม่อ้วน (ถ้าจัดแต่พอประมาณ ไม่ใช่ครั้งละลูกสองลูก!!)
สตรอเบอรี่ เป็นแหล่งของวิตามินซีและโฟลิก ประมาณว่าอัดแน่นด้วยสารต้านอนุมูลอิสระทานแล้วทั้ง ผิว ตา หัวใจ ต่อมลูกหมาก ได้ชะลอวัยไปพร้อมๆกัน และที่สำคัญ จัดเป็นผลไม้น้ำตาลไม่สูง จึงกินได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด
เชอรี่ ต้านการอักเสบได้ดี (การอักเสบซ่อนเร้นในระดับเซลล์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวเราแก่) และยังมีโปแทสเซี่ยมสูง ให้ผลดีในผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง (แต่ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคไต)
พริกหยวกแดง แหล่งของวิตามินเอและซีระดับเข้มข้น นอกจากนำมาทานเป็นสลัดแล้ว ยังอาจนำมาผัดกับเนื้อสัตว์ต่างๆ นึ่งทานกับน้ำพริก หั่นชิ้นเล็กเจียวกับไข่ หรืออีกสารพัดเมนูแล้วแต่จะสร้างสรรค์
ราสเบอรี่ มีคุณสมบัติกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยสลายไขมัน จึงเหมาะกับการนำมารับประทานทดแทนขนมในช่วงลดน้ำหนัก
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นทางเลือกหลักที่เราควรให้ความสำคัญเสมอ แต่สำหรับคนรักสุขภาพที่ไม่มั่นใจว่าจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอจากอาหารที่ได้รับประทานในแต่ละวัน อาจลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมเพื่อเป็นทางเลือกได้ค่ะ

ดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ

1.) ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกาย
และสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้การเผาผลาญ พลังงานดีขึ้น
 
2.) เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่า นี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนต์ ใยอาหาร และปัจจัยอื่น ช่วยลดความเสี่ยง โรค
หัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอล และความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น
 
3.) เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่ม วิตามิน เกลือแร่และสารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอล และ
สารก่อมะเร็งบางชนิด ออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายดำเนินการได้
อย่างมีประสิทธิภาพ
 
4.) ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบกรอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่น ๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของ
ธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทาง โภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น
 
5.) กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบ
ของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น
 
6.) ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทาง
โภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย
 
7.) ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่าย และมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2
แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็ก ๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนมขึ้นอยู่กับวัย หาก
เป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนย เพื่อลดคอเลสเตอรอล
 
8.) งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์เป็นสารเสพติด บั่นทอนสุขภาพ ทำให้การทำงานของระบบประสาทและสมองช้าลงมักก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
เป็นตัวพาสารพิษเข้าร่างกายได้รวดเร็วเพราะดูดซึมเร็ว คนที่ติดแอลกอฮอล์มักขาดวิตามินและแร่ธาตุ และมักเป็นโรคตับแข็งปริมาณอาหารแค่ไหนจึงจะพอเหมาะ
สำหรับผู้สูงอายุเพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้ในแง่รูปธรรมการกำหนดปริมาณอาหารในแต่ละหมวดหมู่จึงมีความจำเป็น พร้อมกันนี้การแนะนำอาหารในแต่ละหมวดให้
สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ก็จะเป็น ประโยชน์แก่ผู้สูงอายุเพื่อให้เกิดความหลากหลายของการเลือกบริโภคอาหารวิธี การตรวจดูได้ว่าได้รับอาหารน้อยเกินไปหรือไม่
คำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index, BMI) ถ้า BMI เกินมาตรฐานอ้วนไป แสดงว่ารับประทานมากกว่าที่ร่างกายต้องการใช้
 
9.) หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด อาหารหวานจัด เช่น พวกขนมหวานต่างๆหรือการเติมน้ำตาลในเครื่องดื่มต่างๆถ้ากินมากๆจะเป็นพลังงานส่วน เกินสามารถ
เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกายได้ สำหรับอาหารเค็มจัดจะมีแร่ธาตุโซเดียมอยู่มาก ถ้ากินเป็นประจำทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้ หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุง
รสใดๆก่อนการชิมอาหาร ลดการบริโภค
 
10.) กินอาหารสะอาดปราศจากการปนเปื้อน เลือกซื้ออาหารสดสะอาด ล้างผักให้สะอาดก่อนปรุง เก็บอาหารที่ปรุงสุกปิดฝาให้มิดชิด ถ้ามีอาหารเหลือเก็บในตู้เย็น
เลือกซื้ออาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆหลีกเลี่ยงอาหารที่เติมสีและอาหารสุกๆดิบๆ

เทคนิคการรับประทานอาหาร ให้มีสุขถาพดี!!

1.) ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกาย
และสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้การเผาผลาญ พลังงานดีขึ้น
 
2.) เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่า นี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนต์ ใยอาหาร และปัจจัยอื่น ช่วยลดความเสี่ยง โรค
หัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอล และความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น
 
3.) เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่ม วิตามิน เกลือแร่และสารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอล และ
สารก่อมะเร็งบางชนิด ออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายดำเนินการได้
อย่างมีประสิทธิภาพ
 
4.) ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบกรอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่น ๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของ
ธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทาง โภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น
 
5.) กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบ
ของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น
 
6.) ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทาง
โภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย
 
7.) ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่าย และมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2
แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็ก ๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนมขึ้นอยู่กับวัย หาก
เป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนย เพื่อลดคอเลสเตอรอล
 
8.) งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์เป็นสารเสพติด บั่นทอนสุขภาพ ทำให้การทำงานของระบบประสาทและสมองช้าลงมักก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
เป็นตัวพาสารพิษเข้าร่างกายได้รวดเร็วเพราะดูดซึมเร็ว คนที่ติดแอลกอฮอล์มักขาดวิตามินและแร่ธาตุ และมักเป็นโรคตับแข็งปริมาณอาหารแค่ไหนจึงจะพอเหมาะ
สำหรับผู้สูงอายุเพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้ในแง่รูปธรรมการกำหนดปริมาณอาหารในแต่ละหมวดหมู่จึงมีความจำเป็น พร้อมกันนี้การแนะนำอาหารในแต่ละหมวดให้
สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ก็จะเป็น ประโยชน์แก่ผู้สูงอายุเพื่อให้เกิดความหลากหลายของการเลือกบริโภคอาหารวิธี การตรวจดูได้ว่าได้รับอาหารน้อยเกินไปหรือไม่
คำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index, BMI) ถ้า BMI เกินมาตรฐานอ้วนไป แสดงว่ารับประทานมากกว่าที่ร่างกายต้องการใช้
 
9.) หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด อาหารหวานจัด เช่น พวกขนมหวานต่างๆหรือการเติมน้ำตาลในเครื่องดื่มต่างๆถ้ากินมากๆจะเป็นพลังงานส่วน เกินสามารถ
เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกายได้ สำหรับอาหารเค็มจัดจะมีแร่ธาตุโซเดียมอยู่มาก ถ้ากินเป็นประจำทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้ หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุง
รสใดๆก่อนการชิมอาหาร ลดการบริโภค
 
10.) กินอาหารสะอาดปราศจากการปนเปื้อน เลือกซื้ออาหารสดสะอาด ล้างผักให้สะอาดก่อนปรุง เก็บอาหารที่ปรุงสุกปิดฝาให้มิดชิด ถ้ามีอาหารเหลือเก็บในตู้เย็น
เลือกซื้ออาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆหลีกเลี่ยงอาหารที่เติมสีและอาหารสุกๆดิบๆ

วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ฟาสต์ฟู้ด..อาหารที่มีทั้งประโยชน์และโทษ

 ฟาสต์ฟู้ด ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารโปรดของใครหลาย ๆ คน เพราะนอกจากจะอร่อยแล้ว ยังสะดวกรวดเร็วอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ฟาสต์ฟู้ดก็ได้ชื่อว่าเป็นอาหารขยะที่ทำลายสุขภาพมากที่สุดอย่างหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นวันนี้เราจึงได้รวบรวมข้อดีข้อเสียของอาหารฟาสต์ฟู้ดมาให้ลองอ่านกันแล้วคิดดูดี ๆ ว่าฟาสต์ฟู้ดมีประโยชน์หรือโทษมากกว่ากันแน่

 1. ช่วยประหยัดเวลา

          แน่นอนว่าเวลารีบ ๆ ฟาสต์ฟู้ดถือเป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ ของใครหลาย ๆ คน เพราะสะดวกทันใจแถมยังอร่อยสุด ๆ เหมาะกับการใช้ชีวิตที่รีบร้อนของสังคมสมัยนี้ เพราะแบบนี้หลายคนจึงเต็มใจจะโทรสั่งแฮมเบอร์เกอร์หรือพิซซ่ามานั่งกินไปทำงานไปที่โต๊ะกันเยอะแยะ 


 2. เลือกใส่เครื่องได้ตามใจชอบ

          จุดเด่นของฟาสต์ฟู้ดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่เลือกใส่เครื่องได้ตามใจชอบนี่แหละ เช่น ถ้าคุณทำพิซซ่าทานเอง คุณอยากจะใส่เครื่องอะไรโรยหน้าก็ได้ตามใจชอบ ยิ่งไปกว่านั้น เดี๋ยวนี้ต่อให้ไม่ทำอาหารเองที่บ้าน บางร้านก็มีบริการให้คุณเลือกใส่เครื่องได้ตามใจชอบเช่นกัน

ฟาสต์ฟู้ด อาหารที่มีทั้งประโยชน์และโทษ

 3. แบบที่มีประโยชน์กับร่างกายก็มีเช่นกัน

          จากการที่ทุกวันนี้ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น ก็เลยทำให้ร้านต่าง ๆ หันมาเพิ่มตัวเลือกในการทานฟาสต์ฟู้ดแบบเพื่อสุขภาพคอยเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย ซึ่งถ้าใครอยากดูแลตัวเองและอร่อยกับฟาสต์ฟู้ดด้วยในเวลาเดียวกัน ก็ควรเปลี่ยนมาเลือกใส่เครื่องปรุงที่ดีมีประโยชน์กับร่างกายของคุณมากขึ้น เช่น ใช้ขนมปังโฮลวีทแทนขนมปังขาวจะดีกว่า


 4. ราคาประหยัด

          อาหารฟาสต์ฟู้ดส่วนใหญ่จะมีราคาถูกกว่าพวกอาหารทั่วไปอยู่แล้ว (บางประเภท) เพราะฉะนั้นจึงเหมาะกับคนที่ต้องการจะเก็บเงินเป็นพิเศษ และเพราะแบบนี้เองร้านฟาสต์ฟูดถึงมีคนต่อคิวอยู่เสมอเพื่อให้ได้กินอาหารที่ทั้งอร่อยทั้งประหยัด


 5. สารอาหารไม่เพียงพอ

          เป็นที่รู้กันดีว่าฟาสต์ฟู้ดน่ะไม่ได้มีสารอาหารครบถ้วนเพียงพอกับที่คนเราต้องการในแต่ละมื้อ ดังนั้นการกินแต่ฟาสต์ฟู้ดเป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นคนขาดสารอาหารไปด้วย โดยเฉพาะสารอาหารประเภทวิตามิน ดังนั้นควรทานอาหารอื่นเช่น สลัดควบคู่ไปด้วยเพื่อให้ร่างกายของคุณได้รับสารอาหารครบถ้วนอยู่เสมอ

ฟาสต์ฟู้ด อาหารที่มีทั้งประโยชน์และโทษ

 6. เป็นตัวการทำให้อ้วน

          คนที่ต้องการจะลดน้ำหนักให้ได้ผล ควรงดอาหารพวกนี้อย่างจริงจัง เพราะอาหารฟาสต์ฟู้ดส่วนใหญ่เต็มไปด้วยของที่ทำให้อ้วนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ชีส เนย หรือน้ำมันที่จะทำให้น้ำหนักของคุณพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว รู้อย่างนี้แล้วใครที่อยากรักษาหุ่นก็อย่าลืมออกกำลังกายชุดใหญ่หลังทานมื้อหนักของคุณเข้าไปด้วยล่ะ


 7. ทำให้ติดโดยไม่รู้ตัว

          การทานอาหารฟาสต์ฟู้ดติดต่อกันเป็นประจำ จะทำให้คุณติดใจในรสชาติของอาหารประเภทนี้ จนขยาดที่จะกินผักหรือพวกน้ำสลัดไขมันต่ำไปโดยไม่รู้ตัว แถมความสะดวกสบายในการกินยังทำให้คุณเคยตัวจนไม่คิดจะขยับตัวเดินไปไหนอีกด้วย ซึ่งกว่าจะมารู้ทีหลัง สุขภาพของคุณอาจย่ำแย่ไปมากแล้วก็ได้


 8. เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ

          ถ้าคุณทานฟาสต์ฟู้ดมากเกินไป อาหารพวกนี้ก็จะกลายมาเป็นตัวทำลายสุขภาพของคุณได้ จากปริมาณไขมันและเครื่องเทศรสจัดต่าง ๆ ที่มากเกินเหตุ โดยโรคที่พบหลัก ๆ จากคนที่ทานฟาสต์ฟู้ดมากเกินไปนั้นก็ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน และโรคตับนั่นเอง 

          ทั้งนี้ อาหารทุกอย่างก็มีทั้งข้อดีข้อเสียทั้งนั้น หากทานในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นคุณควรทานแต่พอดีและออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพของตัวเองจะดีกว่านะคะ

สูตรสครับขา ช่วยลดปัญหาไขมันและเส้นเลือดขอด

มีปัญหากับต้นขา ไม่ว่าจะขาใหญ่ ไขมันเป็นก้อน รวมถึงยังแอบมีเส้นเลือดขอดมาทำให้ผิวปูดโปน จะใส่กระโปรงสั้นหรือขาสั้น ก็ทำเอาความมั่นใจหดหายทุกทีค่ะ อย่างนี้แล้วคงต้องเสียเงินไปดูดไขมัน ทำเลเซอร์ เพื่อให้ปัญหาเหล่านี้หายไป หากสาวๆ กำลังมีปัญหานี้อยู่ เราขอบอกเลยว่าอย่าเพิ่งรีบเสียเงินค่ะ เพราะเรามีวิธีแก้แบบธรรมชาติและปลอดภัย ไม่ทำให้ร่างกายบาดเจ็บแน่นอน

     วิธีที่ว่า ก็คือการใช้  สูตรสครับผิวขา ที่ช่วยลดปัญหาไขมันเกาะขาเป็นก้อน รวมถึงยังมีสมุนไพรที่ช่วยลดปัญหาเส้นเลือดขอดได้อีกด้วยค่ะ โดยสาวๆ ควรหาเวลาหลังอาบน้ำ สครับขาให้ได้ 2 – 3 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งหลังจากที่สครับขาในแต่ละสูตรแล้ว ให้สาวๆ ใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ พันรอบขาแล้วทิ้งไว้ 15 นาทีก่อนล้างออกให้สะอาดค่ะ หมั่นทำบ่อยๆ ก็จะช่วยลดปัญหาไขมันเกาะขาและปัญหาเส้นเลือดขอดได้ค่ะ
สูตรที่ 1
ผงกาแฟ 1 ถ้วย
น้ำตาล 1 ถ้วย
ผงอบเชย 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันมะพร้าว 1/2 ถ้วย
สูตรที่ 2
น้ำมันมะพร้าว 1/2 ถ้วย
น้ำตาล 2 ถ้วย
ใบสะระแหน่ 1 ช้อนโต๊ะ
สีผสมอาหาร สีเขียว 1 หยด